วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

2. วงออร์เคสตรา (Orchestra)


          วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องดนตรี และผู้บรรเลงจำนวนมาก บทเพลงที่ใช้บรรเลงมีหลายประเภท เช่น ซิมโฟนี คอนแชร์โต โอเวอร์เจอร์ เพลงบรรยายเรื่องราวต่างๆ บรรเลงประกอบการแสดงละครโอเปร่า บรรเลงประกอบการแสดงระบำปลายเท้า เป็นต้น
          วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีกระทบ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยยุคบาโรก (ศตวรรษที่ 16) ในการศึกษาวงออร์เคสตราจำเป็นต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบดังนี้


1. ประวัติของวงออร์เคสตรา

          วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำ เป็นส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลาง ความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และใน กลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งใช้มาจนปัจจุบัน อีกนัยหนึ่งก็ยังหมายถึง พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวที ละคร และการแสดงคอนเสิร์ต





          ในระยะแรก การใช้เครื่องดนตรีไม่มีการระบุแน่นอนว่ามีการบรรเลงเป็นอย่างไร ต่อมาในระยะศตวรรษที่ 16 มีโอเปราเกิดขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องการให้มีการบรรเลงกลมกลืนกับนักร้องจึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีลงในบทเพลงโดยเป็นลักษณะของ วงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) มีผู้เล่นจำนวน 10-25 คน ในศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการเพิ่มเครื่องลมไม้ และในตอนปลายยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1750) ผู้ประพันธ์เพลงเริ่มระบุจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด มีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะ


วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลง วงสตริงออร์เคสตรา (STRING ORCHESTRA)



          วงออร์เคสตราเริ่มมีการพัฒนารูปแบบจนได้มาตรฐานในยุค คลาสสิก (ศตวรรษที่ 18) บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลาย ได้แก่ บทเพลงประเภท คอนแชร์โต โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนา

          นอกจากนี้ในวงออร์เคสตรายังมีเครื่องดนตรีแต่ละประเภทครบถ้วน คือ ในกลุ่มเครื่องสายประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในกลุ่มเครื่องลมไม้ ประกอบด้วยฟลูต คลาริเน็ต โอโบ บาสซูน ในกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองประกอบด้วย ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทูบาและในกลุ่มเครื่องตีประกอบด้วย กลองทิมปานี กลองใหญ่ และเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง

          ต่อมาในยุคโรแมนติก วงออร์เคสตราเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสื่ออารมณ์ของบทเพลงให้ชัดเจน ความนิยมในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว (Symphonic poem) ทำให้วงออร์เคสตรามีผู้แสดงถึง 100 คน และนับว่าเป็นการพัฒนาถึงขีดสุดจนถึงยุคศตวรรษที่ 20 เนื่องจากผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้วงมีขนาด ลดลงซึ่งในการจัดวงนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยทางสังคม เช่น เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น เช่นเดียวกับการประพันธ์บทเพลง


2. วิวัฒนาการการจัดวงออร์เคสตรา

2.1 ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ. 1600-1750 เป็นยุคแรกของวงออร์เคสตรา ดังนั้น มาตรฐานการจัดวงจึงมีความไม่แน่นอนซึ่งอาจประกอบด้วย

เครื่องสาย  คือ       ไวโอลิน 2 แนว (ไวโอลิน 1 ไวโอลิน 2)
      วิโอลา
      เชลโลและดับเบิลเบส



เครื่องลมไม้  คือ       โอโบ 3 เครื่อง


      บาสซูน 1 เครื่อง


      บางครั้งอาจมีฟลูต



เครื่องลมทองเหลือง  คือ       ทรัมเป็ต 3 เครื่อง


      บางครั้งอาจมีฮอร์น



เครื่องประกอบจังหวะ  คือ       ทิมปานี






          นอกจากนี้อาจมีออร์แกนหรือฮาร์พซิคอร์ด เพื่อบรรเลงบทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา (เพลงโบสถ์) และเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามความต้องการของผู้ประพันธ์


วิดีโอตัวอย่างการบรรเลง วงออร์เคสตร้ายุคบาโรค





2.2 ยุคคลาสสิก (The Classic Era) ค.ศ. 1750-1820 ยุคนี้วงออร์เคสตราเริ่มมีแบบแผนอาจแบ่งเป็น วงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) คือ วงออร์เคสตราที่ประกอบด้วยเครื่องสายเพียงอย่างเดียวและวงออร์เคสตรามีเครื่องดนตรีทั้ง 4 ประเภท อาจประกอบด้วย

ฟลูต   2       เครื่อง
ฮอร์น    2       เครื่อง
โอโบ   2       เครื่อง
ทรัมเป็ต    2       เครื่อง
คลาริเน็ต   2       เครื่อง
กลองทิมปานี    2       เครื่อง
บาสซูน   2       เครื่อง

          

เครื่องสาย (ตามแต่ผู้ประพันธ์เพลงต้องการ)

ในกลุ่มเครื่องสายจะมีแนวบรรเลง 2 แนว คือ แนวทำนองหลักและแนวเสียงประสาน






วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล : การบรรเลง วงออร๋เคสตร้า
(ตัวอย่างลักษณะ การจัดวงยุคคลาสสิก)



2.3 ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900 ยุคนี้ออร์เคสตราพัฒนาถึงจุดที่เป็นมาตรฐานเครื่องดนตรีสามารถให้สีสันกับบทเพลงได้อย่างเด่นชัด โดยมีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้น ผู้บรรเลงประมาณ 80 คน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้

ฟลูต   4       เครื่อง
ดับเบิลเบส    8       เครื่อง
โอโบ   4       เครื่อง
ฮอร์น    4       เครื่อง
คลาริเน็ต   4       เครื่อง
ทรัมเป็ต    4       เครื่อง
บาสซูน   4       เครื่อง
ทรอมโบน    4       เครื่อง
ไวโอลิน 1 14       เครื่อง
ทิมปานี    1       เครื่อง
ไวโอลิน 2 14       เครื่อง
กลองใหญ่    1       เครื่อง
วิโอลา   8       เครื่อง
ฉาบ    1       เครื่อง
เชลโล 10       เครื่อง
ฮาร์ฟ    1       เครื่อง





2.4 วงออร์เคสตราในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันไปตามสภาพสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งจุดมุ่งหมายการบรรเลงเพลงด้วย แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

- วงแชมเบอร์ออร์เคสตรา
          วงแชมเบอร์ออร์เคสตรา หมายถึง วงดนตรีที่ประสมวงด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลินเท่านั้น มีผู้บรรเลงจำนวน 16 – 20 คน

- วงซิมโฟนีออร์เคสตรา หรือวงดุริยางค์สากล
           ประกอบด้วยเครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง เครื่องลิ้มนิ้ว และเครื่องตีกระทบ เป็นลักษณะการประสมวงที่สมบูรณ์ที่สุด ขนาดของวงได้กำหนดโดยผู้บรรเลงในกลุ่มเครื่องสายดังนี้

1) วงขนาดเล็ก (Small Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 40 – 60 คน
2) วงขนาดกลาง (Medium Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 60 – 80 คน
3) วงขนาดใหญ่ (Full Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 80 คนขึ้นไป

          วาทยกร (Conductor) หรือ เรียกว่า ผู้อำนวยเพลง คือผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมวงดนตรี ต้องที่ด้านหน้าวงดนตรี เพื่อกำกับจังหวะ กำกับลีลา และกำกับความดังเบาของบทเพลงที่บรรเลงอยู่ เป็นผู้เชื่อมโยงอารมณ์ และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงไปสู่ผู้ฟังเพลง


วีดีโอตัวอย่าง วาทยกร หรือ ผู้อำนวยเพลง
(CONDUCTOR) เขามีหน้าที่อะไร ไปชมกัน



          การจัดวงออร์เคสตรา คำนึงถึงความกลมกลืนของเสียงดนตรี และความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่ม กลุ่มเครื่องสายมีจำนวนมากที่สุดในวง ประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนผู้บรรเลงทั้งหมด ในการจัดกลุ่มเครื่องดนตรี นิยมให้กลุ่มเครื่องสายนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ต่อจากนั้นจะเป็นกลุ่มเครื่องลมไม้ กลุ่มเครื่องลมทองเหลืองและกลุ่มเครื่องตีกระทบอยู๋ด้านหลัง ดังนี้

กลุ่มเครื่องสาย ไวโอลิน 1       18 เครื่อง

ไวโอลิน 2       15 เครื่อง

วิโอลา       12 เครื่อง

เชลโล       12 เครื่อง

ดับเบิลเบส       12 เครื่อง




กลุ่มเครื่องลมไม้ ฟลูต         3 เครื่อง

ปิกโคโล         1 เครื่อง

โอโบ         3 เครื่อง

อิงลิชฮอร์น         1 เครื่อง

คลาริเน็ต         3 เครื่อง

เบสคลาริเน็ต         1 เครื่อง

บาสซูน         3 เครื่อง

ดับเบิลบาสซูน         1 เครื่อง




กลุ่มเครื่องลมทองเหลือง ฮอร์น       4-6 เครื่อง

ทรัมเป็ต         4 เครื่อง

ทรอมโบน         3 เครื่อง

ทูบา         1 เครื่อง




กลุ่มเครื่องตี กลองทิมปานี         1 เครื่อง

กลองใหญ่


กลองเล็ก


ไซโลโฟน


สามเหลี่ยม


ฉาบ


แทมโบริน






วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล : การบรรเลง วงออร์เคสตรา
(ตัวอย่างลักษณะการจัดวง ยุคปัจจุบัน)



3. บทเพลงที่ใช้ในวงออร์เคสตรา

ซิมโฟนี (Symphony)

          เป็นบทเพลงต้นแบบของเพลงประเภทต่างๆ ที่ใช้บรรเลงสำหรับวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่ง นิยมในยุคคลาสสิก (1750-1820) ส่วนใหญ่ประพันธ์โดยไฮเดิน (106 บท) โมซาร์ท (ประมาณ 50 บท) ในยุคโรแมนติกเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะ สง่างามและแสดงออกถึงอารมณ์ จิตวิญญาณของดนตรีในยุคผู้ประพันธ์ที่สำคัญ เช่น ชูเบิร์ต ชูมานน์ เป็นต้น ซิมโฟนีโดยปกติ ประกอบด้วย 3-4 ท่อน โดยรูปแบบจังหวะแต่ละท่อนเป็นเร็ว-ช้า-เร็ว หรือ เร็ว-ช้า-เร็ว ปานกลาง-เร็ว


วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลงบทเพลงประเภท ซิมโฟนี (SYMPHONY)



คอนแชร์โต (Concerto)
          เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวเพื่อแสดงฝีมือของผู้บรรเลงร่วมบรรเลงกับวงออร์เคสตรา เกิดขึ้นในยุคบาโรกและมีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานในยุคคลาสสิก ด้านรูปแบบมีลักษณะคล้ายกับซิมโฟนีแต่มีเพียง 3 ท่อน ประกอบด้วย เร็ว-ช้า-เร็ว คอนแชร์โตที่นิยม คือ เปียโนคอนแชร์โตและไวโอลินคอนแชร์โต


วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลงบทเพลงประเภท คอนแชร์โต ‎(CONCERTO)‎



โอเปรา (Opera)

          เป็นละครเพลงร้องที่ใช้วงออร์เคสตราในการบรรเลงดนตรีประกอบ และดำเนินเรื่องใช้การร้องเป็นหลัก โอเปราแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โอเปรา ซีเรีย (Opera Seria) เป็นเรื่องราว เกี่ยวกับชนชั้นสูง เนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความรัก และโอเปรา ชวนหัว (Comic Opera, Opera buffa) เนื้อหาเป็นเรื่องสามัญชนทั่วไป แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน ดำเนินเรื่องรวดเร็ว

          บางโอกาสอาจมีโอเปราอีก 2 ประเภท คือ โอเปเรตตา (Operetta) เป็นโอเปราขนาดเล็ก มีแนวสนุกสนานทันสมัย ใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา และคอนทินิวอัสโอเปรา (Continuous Opera) เป็นโอเปราที่ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ


วิดีโอตัวอย่าง : การแสดง อุปรากร (โอเปรา : OPERA)



ดนตรีบรรยายเรื่องราว (Simphonic poem)

          เป็นบทเพลงที่ใช้เสียงดนตรีสื่อความหมายต่างๆ หรือเล่าเรื่องราวตามความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องราวหรือบรรยายภาพในลักษณะการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น น้ำไหล นกร้อง เป็นต้น บทเพลงประเภทนี้จะสื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน เกิดขึ้นในยุคโรแมนติกและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


บัลเลต์ (Ballet)

          เป็นบทเพลงที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงละครคล้าย โอเปร่า แต่ไม่มีบทร้อง ผู้แสดงใช้การเต้นบรรยายแทนการสนทนา ผู้ประดิษฐ์ท่าทางมีความสำคัญมากเพราะต้องสื่อเนื้อหาที่เข้ากับดนตรีและเนื้อเรื่อง ดนตรีบัลเลต์จัดเป็นดนตรีที่บรรเลงด้วยวงออร์เคสตร้าที่มีความไพเราะสามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีการแสดงประกอบแต่ประการใด



ที่มา : http://tc.mengrai.ac.th/singthong/webstu/521/611/6119-Baroque-A/link16.htm


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น