วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องดนตรี และผู้บรรเลงจำนวนมาก บทเพลงที่ใช้บรรเลงมีหลายประเภท เช่น ซิมโฟนี คอนแชร์โต โอเวอร์เจอร์ เพลงบรรยายเรื่องราวต่างๆ บรรเลงประกอบการแสดงละครโอเปร่า บรรเลงประกอบการแสดงระบำปลายเท้า เป็นต้น
วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีกระทบ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยยุคบาโรก (ศตวรรษที่ 16) ในการศึกษาวงออร์เคสตราจำเป็นต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบดังนี้
1. ประวัติของวงออร์เคสตรา
วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำ เป็นส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลาง ความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และใน กลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งใช้มาจนปัจจุบัน อีกนัยหนึ่งก็ยังหมายถึง พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวที ละคร และการแสดงคอนเสิร์ต
ในระยะแรก การใช้เครื่องดนตรีไม่มีการระบุแน่นอนว่ามีการบรรเลงเป็นอย่างไร ต่อมาในระยะศตวรรษที่ 16 มีโอเปราเกิดขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องการให้มีการบรรเลงกลมกลืนกับนักร้องจึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีลงในบทเพลงโดยเป็นลักษณะของ วงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) มีผู้เล่นจำนวน 10-25 คน ในศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการเพิ่มเครื่องลมไม้ และในตอนปลายยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1750) ผู้ประพันธ์เพลงเริ่มระบุจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด มีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะ
วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลง วงสตริงออร์เคสตรา (STRING ORCHESTRA)
วงออร์เคสตราเริ่มมีการพัฒนารูปแบบจนได้มาตรฐานในยุค คลาสสิก (ศตวรรษที่ 18) บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลาย ได้แก่ บทเพลงประเภท คอนแชร์โต โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนา
นอกจากนี้ในวงออร์เคสตรายังมีเครื่องดนตรีแต่ละประเภทครบถ้วน คือ ในกลุ่มเครื่องสายประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในกลุ่มเครื่องลมไม้ ประกอบด้วยฟลูต คลาริเน็ต โอโบ บาสซูน ในกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองประกอบด้วย ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทูบาและในกลุ่มเครื่องตีประกอบด้วย กลองทิมปานี กลองใหญ่ และเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง
ต่อมาในยุคโรแมนติก วงออร์เคสตราเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสื่ออารมณ์ของบทเพลงให้ชัดเจน ความนิยมในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว (Symphonic poem) ทำให้วงออร์เคสตรามีผู้แสดงถึง 100 คน และนับว่าเป็นการพัฒนาถึงขีดสุดจนถึงยุคศตวรรษที่ 20 เนื่องจากผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้วงมีขนาด ลดลงซึ่งในการจัดวงนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยทางสังคม เช่น เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น เช่นเดียวกับการประพันธ์บทเพลง
2. วิวัฒนาการการจัดวงออร์เคสตรา
2.1 ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ. 1600-1750 เป็นยุคแรกของวงออร์เคสตรา ดังนั้น มาตรฐานการจัดวงจึงมีความไม่แน่นอนซึ่งอาจประกอบด้วย
เครื่องสาย | คือ | ไวโอลิน 2 แนว (ไวโอลิน 1 ไวโอลิน 2) |
วิโอลา | ||
เชลโลและดับเบิลเบส | ||
เครื่องลมไม้ | คือ | โอโบ 3 เครื่อง |
บาสซูน 1 เครื่อง | ||
บางครั้งอาจมีฟลูต | ||
เครื่องลมทองเหลือง | คือ | ทรัมเป็ต 3 เครื่อง |
บางครั้งอาจมีฮอร์น | ||
เครื่องประกอบจังหวะ | คือ | ทิมปานี |
นอกจากนี้อาจมีออร์แกนหรือฮาร์พซิคอร์ด เพื่อบรรเลงบทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา (เพลงโบสถ์) และเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามความต้องการของผู้ประพันธ์
วิดีโอตัวอย่างการบรรเลง วงออร์เคสตร้ายุคบาโรค
2.2 ยุคคลาสสิก (The Classic Era) ค.ศ. 1750-1820 ยุคนี้วงออร์เคสตราเริ่มมีแบบแผนอาจแบ่งเป็น วงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) คือ วงออร์เคสตราที่ประกอบด้วยเครื่องสายเพียงอย่างเดียวและวงออร์เคสตรามีเครื่องดนตรีทั้ง 4 ประเภท อาจประกอบด้วย
ฟลูต | 2 | เครื่อง | ฮอร์น | 2 | เครื่อง | |
โอโบ | 2 | เครื่อง | ทรัมเป็ต | 2 | เครื่อง | |
คลาริเน็ต | 2 | เครื่อง | กลองทิมปานี | 2 | เครื่อง | |
บาสซูน | 2 | เครื่อง |
เครื่องสาย (ตามแต่ผู้ประพันธ์เพลงต้องการ)
ในกลุ่มเครื่องสายจะมีแนวบรรเลง 2 แนว คือ แนวทำนองหลักและแนวเสียงประสาน
วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล : การบรรเลง วงออร๋เคสตร้า
(ตัวอย่างลักษณะ การจัดวงยุคคลาสสิก)
2.3 ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900 ยุคนี้ออร์เคสตราพัฒนาถึงจุดที่เป็นมาตรฐานเครื่องดนตรีสามารถให้สีสันกับบทเพลงได้อย่างเด่นชัด โดยมีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้น ผู้บรรเลงประมาณ 80 คน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้
ฟลูต | 4 | เครื่อง | ดับเบิลเบส | 8 | เครื่อง | |
โอโบ | 4 | เครื่อง | ฮอร์น | 4 | เครื่อง | |
คลาริเน็ต | 4 | เครื่อง | ทรัมเป็ต | 4 | เครื่อง | |
บาสซูน | 4 | เครื่อง | ทรอมโบน | 4 | เครื่อง | |
ไวโอลิน 1 | 14 | เครื่อง | ทิมปานี | 1 | เครื่อง | |
ไวโอลิน 2 | 14 | เครื่อง | กลองใหญ่ | 1 | เครื่อง | |
วิโอลา | 8 | เครื่อง | ฉาบ | 1 | เครื่อง | |
เชลโล | 10 | เครื่อง | ฮาร์ฟ | 1 | เครื่อง |
2.4 วงออร์เคสตราในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันไปตามสภาพสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งจุดมุ่งหมายการบรรเลงเพลงด้วย แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- วงแชมเบอร์ออร์เคสตรา
วงแชมเบอร์ออร์เคสตรา หมายถึง วงดนตรีที่ประสมวงด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลินเท่านั้น มีผู้บรรเลงจำนวน 16 – 20 คน
- วงซิมโฟนีออร์เคสตรา หรือวงดุริยางค์สากล
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง เครื่องลิ้มนิ้ว และเครื่องตีกระทบ เป็นลักษณะการประสมวงที่สมบูรณ์ที่สุด ขนาดของวงได้กำหนดโดยผู้บรรเลงในกลุ่มเครื่องสายดังนี้
1) วงขนาดเล็ก (Small Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 40 – 60 คน
2) วงขนาดกลาง (Medium Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 60 – 80 คน
3) วงขนาดใหญ่ (Full Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 80 คนขึ้นไป
วาทยกร (Conductor) หรือ เรียกว่า ผู้อำนวยเพลง คือผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมวงดนตรี ต้องที่ด้านหน้าวงดนตรี เพื่อกำกับจังหวะ กำกับลีลา และกำกับความดังเบาของบทเพลงที่บรรเลงอยู่ เป็นผู้เชื่อมโยงอารมณ์ และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงไปสู่ผู้ฟังเพลง
วีดีโอตัวอย่าง วาทยกร หรือ ผู้อำนวยเพลง
(CONDUCTOR) เขามีหน้าที่อะไร ไปชมกัน
(CONDUCTOR) เขามีหน้าที่อะไร ไปชมกัน
การจัดวงออร์เคสตรา คำนึงถึงความกลมกลืนของเสียงดนตรี และความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่ม กลุ่มเครื่องสายมีจำนวนมากที่สุดในวง ประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนผู้บรรเลงทั้งหมด ในการจัดกลุ่มเครื่องดนตรี นิยมให้กลุ่มเครื่องสายนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ต่อจากนั้นจะเป็นกลุ่มเครื่องลมไม้ กลุ่มเครื่องลมทองเหลืองและกลุ่มเครื่องตีกระทบอยู๋ด้านหลัง ดังนี้
กลุ่มเครื่องสาย | ไวโอลิน 1 | 18 | เครื่อง |
ไวโอลิน 2 | 15 | เครื่อง | |
วิโอลา | 12 | เครื่อง | |
เชลโล | 12 | เครื่อง | |
ดับเบิลเบส | 12 | เครื่อง | |
กลุ่มเครื่องลมไม้ | ฟลูต | 3 | เครื่อง |
ปิกโคโล | 1 | เครื่อง | |
โอโบ | 3 | เครื่อง | |
อิงลิชฮอร์น | 1 | เครื่อง | |
คลาริเน็ต | 3 | เครื่อง | |
เบสคลาริเน็ต | 1 | เครื่อง | |
บาสซูน | 3 | เครื่อง | |
ดับเบิลบาสซูน | 1 | เครื่อง | |
กลุ่มเครื่องลมทองเหลือง | ฮอร์น | 4-6 | เครื่อง |
ทรัมเป็ต | 4 | เครื่อง | |
ทรอมโบน | 3 | เครื่อง | |
ทูบา | 1 | เครื่อง | |
กลุ่มเครื่องตี | กลองทิมปานี | 1 | เครื่อง |
กลองใหญ่ | |||
กลองเล็ก | |||
ไซโลโฟน | |||
สามเหลี่ยม | |||
ฉาบ | |||
แทมโบริน |
วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล : การบรรเลง วงออร์เคสตรา
(ตัวอย่างลักษณะการจัดวง ยุคปัจจุบัน)
3. บทเพลงที่ใช้ในวงออร์เคสตรา
ซิมโฟนี (Symphony)
เป็นบทเพลงต้นแบบของเพลงประเภทต่างๆ ที่ใช้บรรเลงสำหรับวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่ง นิยมในยุคคลาสสิก (1750-1820) ส่วนใหญ่ประพันธ์โดยไฮเดิน (106 บท) โมซาร์ท (ประมาณ 50 บท) ในยุคโรแมนติกเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะ สง่างามและแสดงออกถึงอารมณ์ จิตวิญญาณของดนตรีในยุคผู้ประพันธ์ที่สำคัญ เช่น ชูเบิร์ต ชูมานน์ เป็นต้น ซิมโฟนีโดยปกติ ประกอบด้วย 3-4 ท่อน โดยรูปแบบจังหวะแต่ละท่อนเป็นเร็ว-ช้า-เร็ว หรือ เร็ว-ช้า-เร็ว ปานกลาง-เร็ว
วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลงบทเพลงประเภท ซิมโฟนี (SYMPHONY)
การบรรเลงบทเพลงประเภท ซิมโฟนี (SYMPHONY)
คอนแชร์โต (Concerto)
เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวเพื่อแสดงฝีมือของผู้บรรเลงร่วมบรรเลงกับวงออร์เคสตรา เกิดขึ้นในยุคบาโรกและมีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานในยุคคลาสสิก ด้านรูปแบบมีลักษณะคล้ายกับซิมโฟนีแต่มีเพียง 3 ท่อน ประกอบด้วย เร็ว-ช้า-เร็ว คอนแชร์โตที่นิยม คือ เปียโนคอนแชร์โตและไวโอลินคอนแชร์โต
วิดีโอตัวอย่างวงดนตรีสากล :
การบรรเลงบทเพลงประเภท คอนแชร์โต (CONCERTO)
โอเปรา (Opera)
เป็นละครเพลงร้องที่ใช้วงออร์เคสตราในการบรรเลงดนตรีประกอบ และดำเนินเรื่องใช้การร้องเป็นหลัก โอเปราแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โอเปรา ซีเรีย (Opera Seria) เป็นเรื่องราว เกี่ยวกับชนชั้นสูง เนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความรัก และโอเปรา ชวนหัว (Comic Opera, Opera buffa) เนื้อหาเป็นเรื่องสามัญชนทั่วไป แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน ดำเนินเรื่องรวดเร็ว
บางโอกาสอาจมีโอเปราอีก 2 ประเภท คือ โอเปเรตตา (Operetta) เป็นโอเปราขนาดเล็ก มีแนวสนุกสนานทันสมัย ใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา และคอนทินิวอัสโอเปรา (Continuous Opera) เป็นโอเปราที่ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
วิดีโอตัวอย่าง : การแสดง อุปรากร (โอเปรา : OPERA)
ดนตรีบรรยายเรื่องราว (Simphonic poem)
เป็นบทเพลงที่ใช้เสียงดนตรีสื่อความหมายต่างๆ หรือเล่าเรื่องราวตามความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องราวหรือบรรยายภาพในลักษณะการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น น้ำไหล นกร้อง เป็นต้น บทเพลงประเภทนี้จะสื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน เกิดขึ้นในยุคโรแมนติกและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
บัลเลต์ (Ballet)
เป็นบทเพลงที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงละครคล้าย โอเปร่า แต่ไม่มีบทร้อง ผู้แสดงใช้การเต้นบรรยายแทนการสนทนา ผู้ประดิษฐ์ท่าทางมีความสำคัญมากเพราะต้องสื่อเนื้อหาที่เข้ากับดนตรีและเนื้อเรื่อง ดนตรีบัลเลต์จัดเป็นดนตรีที่บรรเลงด้วยวงออร์เคสตร้าที่มีความไพเราะสามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีการแสดงประกอบแต่ประการใด
ที่มา : http://tc.mengrai.ac.th/singthong/webstu/521/611/6119-Baroque-A/link16.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น